การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ
การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ
(Backward Design) เป็น
วิธีการออกแบบการเรียนการสอนที่เอา “เป้าหมายการเรียนรู้” (Desired outcomes) เป็นตัวตั้ง กำหนด “วิธีการวัดผลและชิ้นงาน” (Evidence of understanding) ที่สามารถใช้เป็นการบอกว่าผู้เรียนได้บรรลุผลการเรียนรู้
หลังจากนั้น “ออกแบบกิจกรรมการเรียน” (instruction) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างชิ้นงานที่ระบุได้
ตามภาพ
ตารางแสดงข้อแตกต่างของการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบเดิมกับแบบ
Backward Design
แผนการจัดการเรียนรู้แบบเดิม
|
แผนการจัดการเรียนรู้แบบ Backward Design
|
1.
กำหนดเป้าหมาย ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ กำหนดวิธีการประเมิน
|
1.
กำหนดเป้าหมาย ชิ้นงานและวิธีการประเมินมาสู่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
|
2.
เขียนแผนการจัดการเรียนรู้จากมาตรฐานการเรียนรู้สู่กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการประเมิน
|
2.
เขียนแผนการจัดการเรียนรู้จากมาตรฐานการเรียนรู้ สู่ชิ้นงานและวิธีการประเมิน
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
|
3.
กรอบแนวคิด : ออกแบบโดยใช้วิชา เนื้อหาเป็นตัวตั้ง โดยกำหนดเป้าหมายที่ความรู้
ทักษะและทัศนคติตามที่กำหนดในวิชา
|
3.
ใช้การออกแบบการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะหลักของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง (Core competency)
เน้นการประเมินจากผลงานที่สะท้อนความรู้ ทักษะ ทัศนคติที่แท้จริงที่เป็นผลจากการเรียนรู้ในรายวิชาของผู้เรียน
|
การออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบย้อนกลับ
การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับตามข้อเสนอของ Grant Wiggins และ Jay
McTighe แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน
คือ
ขั้นตอนที่
1 กำหนดเป้าหมายของการเรียนรู้ (Identify desired goals) ผู้สอนระบุความรู้ ความสามารถและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านทัศนคติ
ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในผู้เรียนเมื่อเรียนจบหน่วยการเรียนรู้ โดยตั้งคำถามสำคัญ (Essential Questions) เพื่อกำหนดเป็นกรอบความคิดหลักว่า
เมื่อจบหน่วยการเรียนรู้แล้ว
1) ผู้เรียนควรรู้อะไร และมีความเข้าใจในหัวข้อความรู้หรือสาระการเรียนที่เป็นแก่นสำคัญในเรื่องใดบ้าง
2)
ผู้เรียนควรปฏิบัติและแสดงความสามารถในเรื่องใดบ้าง
จนเป็นพฤติกรรมติดตัวคงทนหรือเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Enduring Understanding)
3)
สาระสำคัญที่ควรค่าแก่การเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
ได้แก่เรื่องอะไรบ้าง เพื่อจะช่วยให้ผู้เรียนดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ทั้งการทำงานหรือการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น
4) ผู้เรียนควรมีความรู้และเกิดความเข้าใจที่ลุ่มลึกยั่งยืนเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้างที่จะติดตัวผู้เรียนและสามารถนำไปบูรณาการเชื่อมกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5)
ผู้เรียนควรเรียนรู้ในสภาพจริงและ/หรือจัดทำโครงงานตามสาระการเรียนรู้ใดบ้างที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวผู้เรียน
ขั้นตอนที่
2
กำหนดหลักฐานและวิธีวัดประเมินผลการเรียนรู้ (Determine Acceptable Evidence) ระบุเครื่องมือที่ใช้วัดประเมินผลและวิธีการวัดประเมินผล
โดยเน้นการวัดจากพฤติกรรมการเรียนรู้รวบยอด (Performance
Assessment) เพื่อประเมินว่าผู้เรียนสามารถแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เป็นผลมาจากการ
มีความรู้ความเข้าใจตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในเป้าหมายหลักของการจัดการเรียนรู้ได้จริงหรือไม่ อะไรคือร่องรอยหลักฐานที่แสดงว่าผู้เรียนรู้และสามารถทำได้ตามที่มาตรฐานกำหนด
ทั้งนี้ผู้สอนควรดำเนินการวัดประเมินผลก่อนเรียน ในระหว่างเรียน
และเมื่อสิ้นสุดการเรียน โดยใช้เครื่องมือการวัดประเมินผลย่อยๆ
ทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ประกอบกับการรวบรวมหลักฐานร่องรอยของการเรียนรู้ที่ผู้เรียนแสดงออกอย่างครบถ้วน
เช่น
· การใช้แบบทดสอบย่อยๆ
· การสังเกตความพร้อมทางการเรียน
· การสังเกตการทำกิจกรรม
การตรวจการบ้าน
· การเขียนบันทึกประจำวัน
(Learning Log)
· การสะท้อนผลจากชิ้นงานต่างๆ
เป็นต้น
ข้อพึงระมัดระวัง คือ
การกำหนดชิ้นงานของการเรียนรู้ที่เกิดกับผู้เรียนนั้น
ต้องเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่า
ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ด้วยวิธีการประเมินอย่างหลากหลาย
และมีความต่อเนื่องจนจบสิ้นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้น
และชิ้นงานการประเมินต้องมีความเที่ยงตรง เอื้อต่อการเรียนรู้ตามสภาพจริงของผู้เรียน
ผู้สอนจึงควรตรวจสอบชิ้นงานการเรียนรู้กับวิธีการวัดประเมินผลว่ามีความสอดคล้องสัมพันธ์กันหรือไม่
แนวทางการกำหนดชิ้นงาน
1.
ชิ้นงานที่จะใช้ในการประเมินว่าผู้เรียนบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้
ควรเป็นชิ้นงานที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ (Performance)
ของผู้เรียนอย่างชัดเจน
เพื่อแสดงความรู้ ทักษะ และทัศคติของผู้เรียน
2.
การระบุชิ้นงานที่จะใช้ในการประเมินว่าผู้เรียนบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้หรือไม่
จะต้องประกอบด้วย
2.1. ลักษณะชิ้นงาน
2.2. เกณฑ์การประเมินชิ้นงาน
3. อาจจะใช้หลานชิ้นงานร่วมกัน
เพื่อแสดงถึงความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติของผู้เรียนได้
ขั้นตอนที่
3
วางแผนการจัดกิจกรรมและเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้
เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้และมีชิ้นงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
ผู้สอนควรวางแผนการเรียนการสอน
ว่าจะจัดกิจกรรมอย่างไรจึงจะสนับสนุนให้ผู้เรียนมีความรู้ที่ฝังแน่นตามที่มาตรฐานกำหนดไว้ ตามประเด็นต่อไปนี้
1) ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความรู้
(ข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด ทฤษฎี หลักการต่างๆ) และทักษะ (กระบวนการทำงาน) อะไรบ้างจึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจหรือมีความสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนด
2)
ผู้สอนจำเป็นต้องสอนและชี้แนะหรือจัดกิจกรรมอะไรบ้างจึงจะช่วยพัฒนาผู้เรียน ให้ได้ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย
3) ผู้สอนควรใช้สื่อการสอน
วัสดุอุปกรณ์ และแหล่งการเรียนรู้อะไรบ้างที่จะ ช่วยกระตุ้นผู้เรียน
และเหมาะสมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ข้างต้น
4) การกำหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้
รูปแบบกิจกรรม และสื่อการเรียนรู้ มีความกลมกลืนสอดคล้องและมีประสิทธิภาพหรือไม่
จะช่วยส่งผลต่อการวัดประเมินผลได้ชัดเจนหรือไม่
ทั้งนี้ผู้สอนอาจยึดหลักเทคนิค WHERE (ไปทางไหน)
ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ตามที่กำหนดไว้ ดังนี้
เทคนิควิธีการ WHERE นี้
ผู้สอนจะเริ่มดำเนินการจากขั้นตอนใดก่อนก็ได้
ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ของบทเรียนและสภาพปัญหาของผู้เรียน
แต่ต้องคำนึงถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของจุดมุ่งหมายการเรียนรู้
กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดประเมินผลการเรียนรู้ต้องสอดคล้องกันทุกครั้งจึงจะบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้สอนจึงควรตรวจสอบรายละเอียดก่อนนำไปปฏิบัติตามตาราง ดังนี้
ผังการประเมิน
: เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของกิจกรรม สื่อและการประเมินผลการเรียนรู้
วิธีการประเมิน
กิจกรรมการเรียนการสอน
ทรัพยากร/สื่อ
จำนวนชั่วโมง
การกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้
ผู้สอนควรกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา
มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานการเรียนรู้
และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ รวมทั้งช่วยปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นจริงแก่ผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีศักยภาพตามมาตรฐานและตัวชี้วัดแต่ละข้อประกอบด้วยกิจกรรมใน
3 ลักษณะ ได้แก่ กิจกรรมนำสู่การเรียน
กิจกรรมที่ช่วยพัฒนาผู้เรียน และกิจกรรมรวบยอด
การจัดการเรียนการสอนโดยทั่วไปนั้น
ครูจะเริ่มต้นจากกิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อกระตุ้นความสนใจหรือปูพื้นในเรื่องที่จะสอนก่อน
จากนั้นจึงจะดำเนินการจัดกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถตามลำดับ
จนกระทั่งมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำกิจกรรมสุดท้ายหรือกิจกรรมรวบยอด
เพื่อให้ได้ชิ้นงานหรือภาระงานที่จะเป็นเครื่องสะท้อนว่า
นักเรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในหน่วยการเรียนรู้นั้นๆ
อย่างแท้จริง
1. กิจกรรมนำสู่การเรียน (Introduction Activities) เป็นกิจกรรมที่ใช้ในการกระตุ้นความสนใจของนักเรียนในตอนต้น
ก่อนการจัดกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมนำสู่การเรียนควรมีลักษณะ ดังนี้
- กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจ มีความกระตือรือร้นอยากเรียนรู้
- เชื่อมโยงสู่กิจกรรมที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนและกิจกรรมรวบยอด
- เชื่อมโยงถึงประสบการณ์เดิมที่นักเรียนมีอยู่
- ช่วยให้นักเรียนได้แสดงถึงความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง
2. กิจกรรมที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนหรือกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ (Enabling
Activities) เป็นกิจกรรมที่ใช้ในการพัฒนานักเรียนให้เกิดความรู้
และทักษะที่เพียงพอต่อการทำกิจกรรมรวบยอด การกำหนดกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนควรมีลักษณะ ดังนี้
- สัมพันธ์เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดที่เป็นเป้าหมายของหน่วยการเรียนรู้
- ช่วยสร้างองค์ความรู้และทักษะ เพื่อพัฒนานักเรียนไปสู่ตัวชี้วัดที่กำหนด
- กระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้
- ส่งเสริมการเรียนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ
- สามารถประเมินจากผลงานหรือภาระงานของนักเรียนได้
3. กิจกรรมรวบยอด (Culminating Activities) เป็นกิจกรรมที่แสดงว่านักเรียนได้เรียนรู้และพัฒนาถึงตัวชี้วัดที่กำหนดในหน่วยการเรียนรู้นั้น
การกำหนดกิจกรรมรวบยอดควรมีลักษณะ ดังนี้
- เป็นกิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของนักเรียน
- เป็นกิจกรรมที่นักเรียนได้แสดงออกถึงการประยุกต์ความรู้ที่เรียนมาตลอดหน่วยการเรียนรู้นั้น
- ครอบคลุมตัวชี้วัดที่เป็นเป้าหมายของหน่วย
- การประเมินการปฏิบัติกิจกรรมต้องสัมพันธ์กับตัวชี้วัด
- เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนได้ใช้ความรู้และทักษะกระบวนการตามตัวชี้วัดที่กำหนดอย่างเต็มตามศักยภาพ
- เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ
- เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
อ้างอิง
Wiggins, Grant. (2005) Overview of UBD & The
Design Template
Wiggins, Grant., McTighe, Jay. (2005) Overview of
UBD & The Design Template
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น